คอลัมน์ บริหารแบบย้อนศร หน้า 49
โดย สุจินต์ จันทร์นวล
ข้อมูลเรื่องใครที่ไม่ค่อยจะไปกับใครมีอยู่ในมือเรียบร้อย จับให้อยู่ในกรุ๊ปเดียวกัน พร้อมกับเอาลูกน้องคนไหนมีนิสัยใจคอเป็นคนประนีประนอม เข้าได้กับทั้งสองฝ่ายที่ไม่ค่อยจะลงรอยกันสอดแทรกเข้าไปในกลุ่มนั้นด้วย
เอาหัวทางบัญชีไปอยู่ในกลุ่มการตลาดและ โอเปอเรชั่น เอาจัดซื้อไปอยู่กับฝ่ายผลิต อะไรประมาณนี้ จัดที่จัดทางจัดที่นั่งบนรถให้เลย แต่ทำแบบแนบเนียนไม่ให้รู้เจตนาที่แท้จริง คือหวังว่าอย่างน้อยพวกเขาก็จะได้สนิทสนมและกล้าสื่อสารกันมากขึ้นหลังจากทริปการสัมมนาฝึกอบรมนี้ เพราะความที่ต้องร่วมกันคิดร่วมกันทำเพื่อชัยชนะของกลุ่มที่สังกัดอยู่ด้วยกัน และการใช้ชีวิตอีกแบบหนึ่งแม้จะเพียงแค่ช่วงสั้นๆ มันก็อาจทำให้คนเห็นอีกมุมของคนอื่นได้ มันอาจจะไม่ใช่เรื่องที่ไปคิดเอาเองสรุปเอาเองว่าเขาเป็นยังงั้นยังงี้เหมือนที่รู้สึกอย่างนั้นมาก่อน
กิจกรรมมันเริ่มตั้งแต่รถเคลื่อนออกจากบริษัทเลย มีการละลายพฤติกรรมกันเล็กน้อย มีการพูดเปิดมิสชั่นนี้โดยเขาว่าถึงที่มาที่ไปและเหตุผลของการที่ทำให้วันนี้เกิดขึ้น และต่อด้วยแรลลี่บนรถกันเลย อาร์ซีก็อยู่ตามบิลบอร์ดต่างๆ ตามทางที่ผ่านไป ผสมปนเปด้วยคำถามที่คนในกรุ๊ปต้องหารือกันเพื่อหาข้อสรุปคำตอบที่ถูกต้อง ผลแพ้ชนะจะไปรวมคะแนนกันที่ปลายทางคือโรงแรมที่พัก รางวัลคือเงินสดส่วนตัวของเขาใครชนะก็ไปแบ่งกันเอง
วิธีนี้การเดินทางกว่าร้อยกิโลฯดูมันเดี๋ยวเดียว เขาเองก็คอยเงี่ยหูฟัง คอยชายตาดูลูกน้องคนนั้นคนนี้ไปตลอดทาง แต่เป็นลักษณะเข้าไปแหย่คนนั้นทีแซวคนโน้นที ให้บรรยากาศมันชื่นมื่น ผสมผสานกับลูกเล่นในการทำหน้าที่พิธีกรของมือขวา
พอได้ห้องหับกินข้าวกินปลามื้อเที่ยงกันแล้ว ก็เข้าห้องประชุมสัมมนากันเลย จัดวางโต๊ะเป็นรูปตัวยู ทุกคนมองเห็นหน้ากันหมด อีกด้านของห้องปล่อยโล่งว่างไว้เพื่อเป็นพื้นที่ในการทำกิจกรรม เรื่องแรกที่หยิบยกมาถ่ายทอดคือเบื้องหลังและความหมายของเกมแรลลี่ที่ให้เล่นบนรถว่าเราต้องการสื่อและสอนอะไร ทำไมพวกเขาถึงคิดแก้ปัญหาและตอบปัญหาได้ เพราะสามารถเอามุมมองและความคิดของคนหลายคนมาคัดเลือกให้เหลือหนึ่งเดียวที่ออกมาเป็นคำตอบและผลสรุป
ไอ้มุมมองและความคิดของคนหลายๆ คนนี่แหละ แต่ละคนก็แต่ละเหตุผล แต่ละความเชื่อ แต่เราก็สามารถยอมรับได้ว่าอันไหนมุมที่มันน่าจะถูกต้อง และเชื่อถือได้มากที่สุด เราเลือกอันนั้น ซึ่งก็แปลว่าเรื่องๆ เดียว ปัญหาๆ เดียว มันมองได้ตั้งหลายมุม แก้ได้ตั้งหลายทาง หลายแบบและหลายวิธีโดยไม่ต้องมานั่งคิดว่าใครใหญ่ ใครมีสิทธิ ใครมีอำนาจชี้ขาดในปัญหานั้นๆ
มุมมองและแนวคิดมันจะเข้าจุดหรือไม่เข้า มีการเฉียดฉิวหรือแม้แต่ห่างไกลหลายไมล์ ก็สามารถเลือกเอาที่ส่วนใหญ่เห็นพ้องต้องกันได้ในที่สุด ข้อสำคัญจุดของมันคือความคิดที่หลากหลาย ไม่ใช่มีแค่หนึ่งเดียว มันไม่ได้หยุดแค่นั้น
ซึ่งมันเปรียบได้กับความคิดของคนหนึ่งคน ถ้าคิดเพียงด้านเดียวอย่างเดียว เมื่อเวลาเจอปัญหาถ้ามันตอบโจทย์ไม่ได้ก็จนปัญญาอยู่แค่นั้น แปลว่าหากเรารู้จักคิดให้มากขึ้น มากกว่าทางเดียว คิดอย่างต่อเนื่อง คิดไปเรื่อยๆ คิดหลายๆ มุม เราก็สามารถจะพบคำตอบได้ ไม่จนปัญญา
ทีนี้วิธีที่จะคิดอย่างต่อเนื่อง คิดหลายๆ มุมให้เป็นรูปธรรม และเป็นการทำจริงๆ ได้จะทำอย่างไร มันก็เข้าเรื่องหลักที่เตรียมไว้ทันที
เอารูปแบบทฤษฎีไมนด์แมปปิ้งของฝรั่งมาสอนกันเลย จากวงกลมวงเดียวตรงกลางกระดาน แล้วให้ช่วยกันออกความเห็น เริ่มจากเส้นแกนหลักๆ ที่ออกจากรัศมีวงกลมไปเป็นวงเล็ก แตกแขนงจากวงเล็กออกไปเป็นวงย่อยๆ จากวงย่อยๆ ออกไปเป็นเส้นฝอยๆ ลักษณะเหมือนรากของต้นไม้ใหญ่ที่มีรากแก้วและรากแขนงรากฝอยแผ่ขยายออกไปจนเกือบเต็มกระดาน
ชี้ให้เห็นว่าคนเราหากไม่หยุดคิดในปัญหาเรื่องหนึ่งเรื่องใดมันจะมีอีกไม่รู้กี่หนทางที่เราสามารถจะแก้ปัญหาเรื่องนั้นๆ ได้แน่ แต่ส่วนใหญ่แล้วเรามักจะคิดแค่แขนงเดียวทางเดียวแล้วก็หยุดคิดปล่อยให้คนอื่นคิดแทน ซึ่งคนอื่นนั้นก็คือนาย คือหัวหน้า
แปลว่าคนที่เป็นหัวหน้าเป็นนายนั้นเขารู้จักวิธีคิดและเขาคิดได้มากกว่าเรา จึงเป็นหัวหน้าเป็นนายได้
แปลว่าเราไม่เคยคิดพัฒนาตัวเองที่จะขึ้นเป็นหัวหน้าหรือผู้นำกับเขาเลย จึงไม่ฝึกที่จะคิด
คราวนี้ก็ลองให้โจทย์ไปกลุ่มละหนึ่งโจทย์ เอาง่ายๆ และให้ไปร่วมกันทำนั่งล้อมวงกับพื้นห้องที่เป็นพรมอีกด้าน เอากระดาษขนาดใหญ่ให้กลุ่มละแผ่นพร้อมปากกาเมจิก ให้เวลาพอสมควรโดยมีการช่วยเหลือเดินไปกลุ่มนั้นกลุ่มนี้ให้คำแนะนำในการทำ แน่นอนมันต้องเป็นการแข่งขันกันเพื่อสะสม คะแนนรวมของกลุ่ม เมื่อเสร็จสิ้นรายการใครชนะก็จะได้รับรางวัลจากเขาเป็นเงินสดเอาไปแบ่งกันเองในกลุ่ม
วันแรกก็ต้องใส่ให้เต็มที่กันหน่อย เพราะยังไม่ล้ายังไม่เซ็ง มาหยุดพักกันตอนก่อนมื้อเย็นโดยให้เวลาไปพักผ่อนเดินเล่นกันสัก 2-3 ชั่วโมง หลังมื้อเย็นก็ว่ากันต่อเข้าห้องสัมมนาห้องเดิม เล่นกิจกรรมย่อยอาหารสลับการบรรยายเล็กน้อย และทำเวิร์กช็อป กันอีก คราวนี้เอาที่ยากกว่าตอนกลางวัน คือเอาปัญหาจริงที่เกิดขึ้นในที่ทำงานมาเป็นโจทย์ตั้งให้ทำไมนด์แมปหาความคิดและมุมมองที่หลากหลายกันเลยโดยที่ไม่ต้องสรุป เอาเพียงว่าสรุปความคิดเห็นได้กี่แนวทาง
เริ่มเครียดกันเล็กน้อยเพราะไม่มีใครคิดว่าจะเอาเรื่องจริงมาทำเล่นๆ มองหน้ากันเลิกลั่กเหมือนมีคำถามอยู่ในใจกันว่า นายใหญ่มาไม้ไหนเนี่ย เขาสังเกตเห็นได้ชัดจึงพูดไปเลยว่า เอาของไม่จริงมา สมมติ ผลที่ออกมามันก็เป็นอะไรที่สมมติๆ เอาเรื่องจริงมาสมมติดีกว่า ผลที่ออกมามันจึงจะเป็นจริงๆ
ให้เวลาทำกันตามสบาย จาก 15 นาที เป็น 20 นาที ยังไม่เสร็จก็ต่อให้เป็น 30 นาที เสร็จแล้วก็รวบรวมเอาผลของแต่ละกลุ่มออกมาวิจารณ์ให้ฟัง โดยให้ออกมาในเชิงสนุกสนาน เต็มไปด้วยอารมณ์ขันและมุขกระจาย
วันแรกก็จบกันแค่นั้น ปล่อยให้ไปพักผ่อนกันตามสบาย รุ่งเช้าว่ากันอีกยก ครึ่งวันแรกคราวนี้เป็นวิธีคิดในการตัดสินใจ แนวคิดวิธีการสอนและอบรมก็ไม่ต่างจากตอนแรก มีการบรรยายและทำเวิร์ก ช็อป พอบ่ายก็เป็นการสรุปและขมวดปมทั้งหมด คลี่คลายสิ่งที่ทำกันมาทั้ง 2 วัน
เรื่องจริงที่เอามาสมมติให้หาวิธีคิดกันนั้น ถูกส่งกลับไปให้เสนอการตัดสินใจกัน เพราะเรียนรู้วิธีตัดสินใจแล้ว มีการนำมาวิเคราะห์วิจัยกันให้เห็นๆ และให้ออกเสียงกันว่าใช้แนวทางที่เสนอมานี้ทุกคนเห็นด้วยหรือไม่ เมื่อเห็นด้วยกลับไปถึงบริษัทก็ให้งัดขึ้นมาใช้ทันที นั่นคือคำสั่งและการเห็นชอบของเขา
พร้อมกันนั้นเขาก็ประกาศนโยบายในการบริหาร โดยใช้สิ่งที่ทุกคนได้เรียนรู้และเข้าใจจากการฝึกอบรมในครั้งนี้มาเป็นแนวทางในการทำงาน และเป็นกติกาของบริษัทด้วยว่าปัญหาภายในของบริษัทที่ยังคงมีอยู่หรือจะเกิดขึ้น ให้ระดับคีย์ๆ นี้แก้กันเอง คิดกันเอง ตัดสินใจกันเอง จะมาถึงเขาก็ต่อเมื่อต้องเป็นเรื่องที่หาทางออกไม่ได้จริงๆ หรือเรื่องมันใหญ่เกินกว่าจะตัดสินใจกันเองได้
ห้ามใครเดินเข้ามาหาและรายงานเขาว่ามีปัญหาเรื่องนั้นเรื่องนี้จะทำอย่างไรดี แต่ต้องเข้ามาหาพร้อมกับการทำการบ้านมาเรียบร้อย เครื่องมือและวิธีการในการทำการบ้านก็ฝึกกันมาเรียบร้อยแล้ว
แต่ต้องเป็นการเข้ามาหาและบอกถึงแนวคิดในการแก้ปัญหานั้นๆ ว่ามีทางออกกี่ทางกี่วิธี คิดว่าวิธีไหนที่ดีที่สุด และถามความเห็นของเขาว่าเห็นด้วยหรือไม่
หลังจากนั้นเขาก็ทำใจและเตรียมพร้อมยอมรับผลที่จะเกิดขึ้น เมื่อเริ่มทดสอบมอบอำนาจการตัดสินใจให้ระดับคีย์ๆ ไป เพราะเป็นทางเดียวที่จะให้การฝึกที่ลงทุนไปนั้นเกิดผลที่คุ้มค่าจริงๆ
ในการประชุมทุกครั้งมิติใหม่ในการบริหารก็เกิดขึ้น เมื่อวิธีการที่จะคลี่คลายและแก้ไขปัญหาทุกเรื่องไม่ได้มาจากเขา แต่จะมาจากการใช้แนวทางที่ฝึกมาจากการสัมมนาทั้งสิ้น คือเป็นการร่วมกันตัดสินใจของเสียงส่วนใหญ่ในที่ประชุม ส่วนเขานั้นจะทำตัวเป็นผู้เสนอสมมติฐานในการท้วงติงว่าถ้าผลที่ออกมาจากการตัดสินใจมันไม่เป็นไปตามที่คิด ถ้ามันออกมาอย่างนี้อย่างนั้นแล้วจะทำอย่างไรเพื่อให้ที่ประชุมหาทางออกไว้ด้วย กลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติต่อมาว่า เมื่อคิดแปลนเอแล้วต้องมีแปลนบีและแปลนซีด้วย
ด้วยวิธีการนี้เขาสามารถบริหาร 6 บริษัทพร้อมๆ กันในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ 4 ศูนย์ ประคับประคองและพาทั้งหมดฟันฝ่ามรสุมทางการเงินมาจนตลอดรอดฝั่งโดยที่ไม่ได้รับการสนับสนุนใดๆ จากสถาบันการเงิน แต่กลับหาเงินใช้หนี้กลับคืน 1,000 กว่าล้านได้
ด้วยแนวคิดและวิธีการที่แม้แต่เอชอาร์ มืออาชีพก็ทำไม่ได้ เพราะเอชอาร์คนนั้นจะทำได้ก็หมายความว่าจะต้องนั่งอยู่บนเก้าอี้ของเขาด้วยกัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น